หยุดชีวิตซวนเซ ทีเลห์ลาดัก 5 (Leh city - Hunder Nubra valley)


ติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวดีๆ ที่ : 👉👉👉 BACKPACKGO

หยุดชีวิตซวนเซ ที่เลห์ลาดักSpecial (โรคแพ้ความสูง และการเตรียมตัว)
หยุดชีวิตซวนเซ ที่เลห์ลาดัก 1 (์ฺBangkok city - New Delhi)
หยุดชีวิตซวนเซ ที่เลห์ลาดัก 2 (New Delhi - Leh City)
หยุดชีวิตซวนเซ ที่เลห์ลาดัก 3 (Leh City - Hemis - Thiksey  - Shey Palace - Leh Main Bazaar)
หยุดชีวิตซวนเซ ที่เลห์ลาดัก 4 (Lamayuru Monastry - Alchi Monastry - Likir Monastry)
***************************
23 พ.ค. 2561 : Leh City - Hunder Nubra Valley


เข้าสู่วันที่4 ของทริป เราออกเดินทางประมาณ 9.00 ฝากกระเป๋าบางส่วนไว้ที่รร. เลือกเอาแค่ของจำเป็นแต่มันดูเยอะมาก เพราะต้องผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลกและลงไปต่ำสู่ทะเลทรายที่ร้อนในวันเดียวกัน จึงทำให้ลำบากใจในการเลือกสัมภาระ โดยเราต้องผ่านหลายร้อยโค้ง บนเทือกเขา ที่มียอดเป็นหิมะ ถึงแม้วันนี้อากาที่เลย์จะไม่หนาว แต่เมื่อขึ้นถึงครึ่งทางของยอด ก็หนาวและมีลมแรงมาก เราไต่เทือกเขาขึ้นมาถึง 15,300 ฟุต(5,320ม.) จากระดับน้ำทะเล ไกด์ต้องนำพาส์ตปอร์ต พวกเราให้ จนท.เช็ค ผมเลยถือโอกาสเข้าห้องน้ำ ตอนเดินไปผมดูสบายมา จนถึงห้องน้ำ มี4 ห้องแบ่งชาย 4 หญิง 4 เมื่อเปิดเข้า ผมถึงกับคิดในใจ เราถึงแล้วสินะ
จินตนาการภาพห้องน้ำ: ห้องมืดๆ แค่1วา ที่พื้นเต็มไปด้วยขวดน้ำและกระดาษทิชชูเต็มพื้น และหลุมส้วมคือ แค่เจาะพื้นห้องน้ำเป็นรูสี่เหลี่ยม และทุกอย่างก็ลงไปกองที่พื้นดินด้านล่างทั้งหมด กลิ่นรูปชันดูดี พี่ถึงแล้วจริงๆสินะ!! ผมไปมองห้องน้ำหญิงมันหนักกว่ามาก
ที่น่าsurprise มากกว่าห้องน้ำ คือ มีครอบครัวคนอินเดียกำลังถ่ายรูปหมู่ และselfieกันอย่างenjoyและเมามันหน้าห้องน้ำนั้น "พระเจ้า!! โอม นามะศิวะ!!คนอินเดียยากเกินความคาดเดาจริงๆ"  ผมให้คนประเทศนี้ชนะขาดเรื่องความstrongให้การถ่ายรูปไปเลย... มอบโล่ครับ5555.



หลังจากผมได้พบความsurprise ที่อินเดียมอบให้แล้ว เราก็นั่งรถกันต่อ ช่วงเกือบถึงยอด เกิดรถติด ตั้งแต่10.30 ถึงเกือบ11.45 พระเจ้า! รถติดบนยอดเขา ติดยาวกันเกิน20คันก่อนแต่ด้านหลังไม่รู้อีกเท่าไร อาการปวดหัว เพลีย มาทันที เพราะต้องรอนาน ออกนอกรถก็หนาว เลยต้องนั่งทรมานกันในรถเป็นชม. พอใกล้เที่ยงรถค่อยขยับ เมื่อผ่านจุดเจ้าปัญหา คือ มีการซ่อมทางบนเขา เอาเครื่องจักรใหญ่มาลงเต็ม แต่ไม่มี จนท. มาค่อยโบกอำนวยความสะดวก... นี้! ถ้าไม่ติด จนท.ทานเที่ยง เราคงได้ค้างกับบนยอดแน่ๆ... การจัดการบ้านนี้เมืองนี้ ทำไปไม่สนโลกว่าจะเกิดอะไรขึ้น รถติดก็ติดไป ใครรอไม่ไหวก็ติดปีกบินไปเองเลย

จากจุดที่ จนท ซ่่อมทาง อนุญาตยอมไปทานข้าวเที่ยงกัน เรานั่งมาอีกแค่5 นาทีก็ถึงจุดสูงสุดของถนน.. จุด Khardung-la ซึ่งเป็นถนนที่มีความสูงที่สุดในโลก สูง5300ม.จากระดับน้ำทะเล ที่นี้เราสามารถอยู่กันได้แค่ 10 นาทีเท่านั้น เพราะอากาศเบาบางและหนาวมาก เพราะเป็นร่องเขาสองฝั่ง อาการของผม คือ ปวดหัว และเดินสักพักจะมีอาการคล้ายจะหน้ามืดแต่ยังโอเค เพื่อนจะมีความรู้สึกหายใจไม่ทัน





เราเลยรีบไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แต่ก็ต้องระทึกกับนิสัยโครตแย่ไม่เคยเปลี่ยนของพวกคนอินเดีย คือ แทรก แซง ไม่ต่อคิวกันถ่ายรูป มีถึงขั้นยืนจองให้เพื่อนเดินมา กันทางไม่ให้เข้า และยังมีบอกว่าขอนาทีแต่พี่จัดกันทั้งครอบครัวมีหมด ภายใน10นาที(คนเลย์จะไม่ชอบให้คิดว่า เขาคือคนอินเดีย เพราะนิสัย สันดาน ศาสนา ความคิดริเริ่มและสายตาการมองคนอื่น(โดยเฉพาะผู้ชายมองสุภาพสตรี)​มันชั่งต่างราวฟ้ากับเหวลึกสุดโลก



แล้วเราก็รีบหนีจากคนแย่ๆ มาบริเวณอีกฝั่งเขา ก็จะพบ ลานหิมะ เลยถ่ายรูปกันหน่อย เพื่อนผมเดินไม่ได้ไกล เพราะเหมือนจะหายใจไม่ทัน


จากความสูงมากๆ เราก็มาผ่านโค้งหฤโหด ไต่ไหล่เขาลงมา จะพบรถจอดเพื่อให้คนอ้วกตลอดทาง
13.30น. เราแวะทานข้าวกันบริเวณด้านล่างของเทือกเขา เราสั่งกันง่ายๆ นั่งในเตนท์กลางแจ้ง เพราะยังต้องเดินทางต่อ พอเราทานกันได้สักพัก ก็ลมจากร่องเขาพัดพาเอาทรายและฝุ่นมาด้วย ต้องป้องปิดกันอาหารกันจ้าละหวั่น...




จากนั้น ก็เดินทางกันต่อ เราจะผ่านเส้นทางทะเลทราย และก็กลับมาไต่เนินเขากันต่ออีกพักใหญ่ จนไกด์ดูเวลาว่า เรายังพอมีเวลาเลย จอดแวะที่วัด Disket Monastry เป็นที่ประดิษฐาน พระศรีอริยเมตไตร แบบนั่ง ซึ่งได้มีการสร้างองค์พระมาไม่นานมาก ยังคงดูสภาพใหม่และตรึงตราตรึงใจ ถือได้ว่า เป็นพระพุทธรูปที่งดงามมากที่สุดในทริปนี้เลย ไกด์บอกกับพวกเราว่า ในบางปี องค์ดาไลลามะ จะมีมาเยี่ยมที่วัดนี้อยู่บ่อยๆ





วันนี้เราพัก รร.ชื่อ hunder eco villa. เป็นที่พักค่อนข้างใหม่ ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่สภาพห้องใหญ่ เตียงนอนสบาย ห้องน้ำเป็นแบบสมัยใหม่และมีน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำ ซึ่งดีมาก แต่อินเตอร์เน็ตจะไม่ค่อยทั่วถึงมากนัก




ก่อนทานอาหารเย็น ผมพอมีเวลาเลยเดินสำรวจหมู่บ้าน hunder nubra นี้สักหน่อย เป็นหมู่บ้านเงียบๆที่ไม่มีแม้แต่ร้านค้าขายของใดๆ ขณะกำลังเดินในหมู่บ้านผมบังเอิญได้เจอเด็กนักเรียนเดินเล่นผ่านมาเป็นกลุ่ม เด็กๆก็" Say Hi " กับผม และมีเด็กผู้ชายเห็นกล้องถ่ายรูป จึงบอกว่า Photo Photo ผมก็เลยได้ถ่ายรูปร่วมกับเด็กๆที่น่ารัก สักพักก็ได้พบกับชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ ดูเป็นมิตร ยิ้มแย้มทักทายผมตลอดทางไป-กลับ. หมู่บ้านนี้ส่วนใหญ่จะใช้ก้อนหินมาสร้างเป็นรั้วบ้าน สูงประมาณ 150 ซม. และก็มีซุ้มประตูไม้สำหรับเข้าออก แต่ถนนจะยังเป็นดินลูกลัง โดยจะมีต้นไม้สูงคล้ายกับสนบ้านเราล้อมรอบทั้งตัวหมู่บ้านและรอบบริเวณ เพื่อกันลมพายุฝุ่นที่จะพัดมาตลอดเวลาและความร่มรื่นในช่วงหน้าร้อน บ้านพักอาศัยจะเป็นอิฐก่อฉาบด้วยปูนขาวและมีหน้าต่างประตูที่ทำจากไม้ ซึ่งแบบกรอบประตูจะเหมือนกันทั้งหมู่บ้านและทั้งเมือง


และวันนี้ที่พักได้รวมกับอาหารเย็นด้วย ก็มีอาหารมื้อเย็นเสิร์ฟเป็นอาหารบุฟเฟต์สไตล์อินเดีย แต่ยังมี หมี่ผัด ให้เราหน่อย แต่ถือว่าอร่อยใช้ได้ (ถ้าไม่มีอาหารเย็นให้ ท่าทางพวกเราจะลำบาก ร้านค้าขายของยังไม่มี แล้วจะคาดหวังอะไรกับร้านอาหาร555)






---------------------------------------------------------------

ติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวดีๆ ที่ : 👉👉👉 BACKPACKGO

ความคิดเห็น